คมชัดลึก : กีฬา

Tuesday, February 6, 2007

ทัวร์วิ่ง @ สุรินทร์มาราธอน 2006


6 สิงหาคม 2549
กว่าจะถึงสุรินทร์...มาราธอน

หนุกหนานมากมาย กับการเดินทางไปร่วมงานสุรินทร์มาราธอน 2006 เผ่นไปขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ กระโดดขึ้นรถกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เพื่อไปต่อรถไปสุรินทร์อีกที ขึ้นรถก็ขอหลับเลยครับ นอนเอาแรงไว้ก่อน ยังไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางอีกกี่ชั่วโมง...โชคดีเสียด้วยที่ไม่มีผู้โดยสารนั่งข้าง ๆ ห่มเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองแล้วหลับดีกว่า



ถึงโคราช ซื้อตั๋วโดยสารต่อทันที อีก 5 นาทีรถออกแล้วครับ เฮ้อ..โชคดีจัง ไม่ต้องคอยนาน เป็นรถ ป. 2 จอดรับผู้โดยสารได้ตลอดเส้นทาง เอาน่า...ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร อย่างช้าก็ 4 ชั่วโมง ถามนายท่าแล้ว ตอนนี้ 5 โมง 55 รถออกจากสถานีขนส่งโคราช ไปถึงสุรินทร์อย่างช้าก็ 4 ทุ่ม ไม่ดึกเท่าไหร่ แต่...ถ้าราบรื่นอย่างนั้นก็ไม่สนุกสิ ออกมาจากสถานีขนส่งปุ๊บ เจอ Big-C ปั๊บ จอดคอยผู้โดยสารอยู่หน้า Big-C จนถึง 6 โมงครึ่ง กว่าจะได้ออกเดินทางจริง ๆ เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางบุรีรัมย์ เอ...ทำไปรถติดขนาดนี้ เสียงคนขับบ่น สักพักก็จอดรับผู้โดยสารอีก มีผู้โดยสารท่านหนึ่งทางทางคุ้นเคยกับคนขับดีขึ้นมานั่ง บอกว่ามีรถสุรินทร์อีกคันเสียอยู่กลางไฟแดงเลย เสียอยู่ชั่วโมงนึงแล้ว อ้าว...แล้วทำไมไม่เปลี่ยนรถ คนขับก็ว่างั้น แต่เราก็เดินทางกันต่อได้ จนถึงสุรินทร์ได้ออกวิ่งกับเพื่อนร่วมทาง วิ่งไปคุยไปถึงได้รู้ว่า รถคันนั้นมีผู้โดยสารที่คุ้นเคยอยู่ 2 ท่าน !! คือ หนึ่ง ฟอร์รันเนอร์ กับพี่วินัย พวงดอกไม้ ผู้ซึ่งโดนการดีเลย์ของสายการบินจากเชียงใหม่ มาต่อรถไฟที่จองไว้ไม่ทัน ต้องนั่งรถทัวร์มาต่อรถที่โคราชเหมือนกัน แล้วมาเจอรถเสียคันนั้น รอเปลี่ยนรถอีกหลายชั่วโมง หลังจากพยายามซ่อมแลัวแต่ไม่ประสบความสำเร็จ



นั่ง ๆ นอน ๆ หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่อีกหลายยก ก็ยังไปไม่ถึงไหน ก็ท่านเล่นจอดรับ จอดส่งผู้โดยสารตลอดเส้นทาง ขึ้นเลยครับ ข้างในว่าง ๆ ครับ เฮ้อ...ไม่ยักรู้ว่าแบบนี้เค้าเรียกรถว่าง ถ้าเป็นขสมก.เค้าเรียกรถแน่นครับ โชคดีอีกเหมือนกัน ที่เลือกที่นั่งเดี่ยวข้างหลังคนขับ ก็เลยไม่ต้องวุ่นวายกับใคร แถมได้ฟังคนขับคุยกับคนโน้นคนนี้อีกด้วย


เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งที่หาไม่ได้ในชีวิตคนเมืองหลวง ผู้โดยสารหลายท่านคุ้นเคยกับคนขับเป็นอย่างดี ขึ้นมาก็ทักทายกันอย่างสนิทสนม และได้นั่งบนเบาะเครื่องรถข้างคนขับ นั่งคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันไปอย่างออกรสชาติจนถึงจุดหมายปลายทางของแต่ละคน แต่ก็ดูเหมือนจะมีคนใหม่ ๆ ที่รู้จักกันมานั่งแทนที่อยู่ตลอด จนถึงจุดหมายปลายทางของคนขับเอง เรื่องที่หยิบยกมาพูดคุยกัน ก็มีตั้งแต่เรื่องหวย เรื่องคนรู้จัก เรื่องสถานที่ตามรายทาง เรื่องอาหารการกิน ฯลฯ สารพัด ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียว ที่จะพูดถึงเรื่องการเมือง การจราจร การงาน การทำมาหาเลี้ยงชีพ ข่าวต่าง ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนเมืองหลวงมักจะพูดถึงกัน...ดูแตกต่างกันไป



ชอบใจผู้โดยสารหญิงวัยกลางคนอยู่ท่านหนึ่ง มากับบุตรสาวซึ่งแต่งกายตามสมัยนิยมเปี๊ยบ ขึ้นมาถึงก็ลงนั่งกับพื้นรถทันที ราวกับว่าคอยอยู่นานแล้วเมื่อยขาเหลือเกิน ส่วนคุณแม่...จะใช้คำว่า "ร่วมสมัย" จะเหมาะสมกว่า "ทันสมัย" เพราะคุณแม่นุ่งกางเกงยีนส์แบบสุดเดิ้น แต่เคี้ยวหมากปากแดงหยับ ๆ แถมยังเจรจาด้วยภาษาอีสานตอนใต้อีกต่างหาก !!! เก๋จริง ๆ



ในที่สุด...ก็มาถึงสถานีขนส่งสุรินทร์ เวลาสี่ทุ่มปลาย ๆ เมื่อผู้โดยสารลงจากรถ ก็ถูกรุมล้อมด้วยเสียงแซแซ่ด มอเตอร์ไซค์มั้ยครับ สามล้อมั้ยครับ ไปไหนครับ...ไม่ไปทั้งนั้นแหละคร้าบ กลัวคร้าบ !!



ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิด ทางเลือกที่ตัดสินใจตอนนั้น คือ "เดิน" ไปโรงแรม ก็ไม่ไกลนี่ เส้นทางก็รู้จัก ขอเดินก็แล้วกัน เดินชมเมืองยามค่ำคืน มีสาว ๆ ให้ชมอีกต่างหาก สาววัยรุ่นเมืองสุรินทร์นุ่งกางเกงขาสั้น ขี่มอเตอร์ไซค์กันมาเป็นคู่ ๆ โฉบไปโฉบมา บางคันก็เป็นวัยรุ่นชาย มากันเป็นคู่เหมือนกัน ร่อนไปร่อนมา นาน ๆ ก็มีสามล้อถีบผ่านมาสักคัน แต่ละคนก็ต่างมองกัน ทางโน้นก็คงคิดว่ายัยนี่มาเดินทำอะไรแถวนี้...



วันใหม่แล้ว ตีสามครึ่ง นักวิ่งมาราธอนร้อยกว่าชีวิตวิ่งฝ่าความมืดมิดไปตามเส้นทาง บ้างก็เกาะกลุ่มกัน บ้างก็วิ่งไปกันเป็นคู่ บ้างก็นิยมวิ่งเดี่ยว โดยมีแสงไฟจากไฟฉายอันน้อยในมือให้ความสว่าง ในความมืดมนของหนทาง ความสว่างจากมิตรภาพสาดส่องไปทั่ว ตอนนี้มืดเหลือเกินอยู่เป็นเพื่อนกันไปก่อน เดี๋ยวสว่างแล้วเราค่อยเป็นคู่แข่งกัน เสียงทักทาย และรอยยิ้มมีไปตลอดเส้นทาง อากาศเย็นสดชื่นในตอนสาง และร้อนแดดแผดกล้าในตอนสาย แต่ทุ่งข้าวก็เขียวไสวท้าทายทุกสภาพ สายลมแรงบนสันห้วยทำให้ต้องออกแรงมากขึ้น แต่คงน้อยกว่าแรงใจที่จะไปให้ถึงเส้นชัย...



เพื่อน ๆ มันบอกว่าบ้า นักวิ่งข้าง ๆ เค้าว่าอย่างนั้น แต่บอกมันไปว่า อีก 10 ปีมันก็จะรู้สึก ก็ถูกของเค้า แต่คราวนี้คงไม่ต้องคอยถึง 10 ปี...ขอแค่วันนี้ก็รู้แล้ว ถ้าไม่บ้า คงไม่มาถึงที่นี่หรอก...เฮ้อ

No comments:

Post a Comment